โรคไวรัสตับอักเสบ เอ (Viral hepatitis A) หรือชื่อเดิมคือ “Infectious hepatitis”ไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นโรคพบบ่อยทั่วโลกประมาณ 1.4 ล้านคนต่อปี โดยเฉพาะในประเทศยังไม่พัฒนาและกำลังพัฒนาเพราะยังขาดการสาธารณสุขที่ดี โดยเฉพาะในเรื่องน้ำดื่มและ น้ำใช้เป็นโรคพบได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ เพศหญิงและเพศชายมีโอกาสเกิดโรคนี้ใกล้เคียงกัน โรคไวรัสตับอักเสบ เอ เกิดจากตับติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A Virus หรือเรียกย่อว่าHAV) โดยเชื้อผ่านเข้าร่างกายทางปาก เข้าสู่กระแสเลือด/กระแสโลหิต แล้วจึงเข้าสู่ตับ เชื้อในตับจะปนเปื้อนในน้ำดีจากตับเข้าสู่ลำไส้ และปนมาในอุจจาระ เมื่อคนได้รับอุจจาระที่มีเชื้อไวรัสซึ่งปนเปื้อน และปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่มจึงเกิดโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ดังนั้น ไวรัสตับอักเสบ เอ จึงเป็นโรคติดต่อทาง “อุจจาระสู่ปาก (Fecal-Oral route)”
• เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นเดือนในน้ำดื่มที่ไม่สะอาด น้ำทะเล น้ำเสีย และในดิน
• ไม่สามารถฆ่าให้ตายด้วย ผงซักฟอก สบู่ สารคลอโรฟอร์ม (Chloroform) ความแห้งแล้ง และการแช่แข็ง แต่ฆ่าให้ตายได้ด้วยแสง ยูวี (UV, Ultraviolet light) หรือ แสงแดด สารคลอรีน (Chlorine) สารฟอร์มาลิน (Formalin) และด้วยอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 85 องศาเซลเซียส (Celsius) ขึ้นไป
• ไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นโรคติดต่อได้ง่าย จึงมีการระบาดได้ง่าย โดยสามารถติดต่อได้จากการกิน และ/หรือ ดื่ม อาหารและ/หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อนี้อยู่ ซึ่งเชื้อมักอยู่ในอาหารที่ปรุงไม่สุก สุกๆดิบๆ สด อาหารทะเล โดยเฉพาะหอยลวก ปู ผักสด และน้ำดื่มที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะในน้ำแข็ง
• ผู้ป่วยมักมีอาการภายหลังการได้รับเชื้อประมาณ 2 – 6 สัปดาห์ เฉลี่ยประมาณ 28 วัน (ระยะฟักตัว) ในผู้ป่วยผู้ใหญ่สามารถแพร่เชื้อ (ทางอุจจาระ) ได้โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณ 10 วันก่อนเริ่มมีอาการไปจนถึงประมาณ 1 สัปดาห์ หลังมีตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน) แต่ในผู้ป่วยเด็ก
การแพร่เชื้อทางอุจจาระมีไปตลอดระยะเวลาที่เด็กยังมีอาการตา/ตัวเหลือง หรืออาจนานถึง 6 เดือน (ในเด็กบางคน) อย่างไรก็ตามในช่วงระยะฟักตัว โรคอาจติดต่อทางการให้เลือดได้ (เป็นช่วงมีไวรัสในเลือด) แต่เป็นวิธีติดต่อที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก
• โรคไวรัสตับอักเสบ เอ มักเป็นการอักเสบติดเชื้อเฉียบพลัน ไม่ค่อยเปลี่ยนรุนแรง เป็นการอักเสบเรื้อรัง หรือโรคตับแข็ง และไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ เอ มักมีอาการอยู่ทั้งหมดประมาณ 8 สัปดาห์ และมักจำเป็นต้องหยุดงานเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโดยเฉพาะผู้สัมผัสอาหาร ในช่วงมีอาการมากเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 30 วัน ในเด็กเล็กมักไม่มีอาการ แต่เป็นผู้แพร่เชื้อ (เป็นพาหะโรค)
ส่วนเด็กโตและในผู้ใหญ่อาการที่พบบ่อย คือ มีอาการคล้ายโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ มีไข้ (มีได้ทั้งไข้สูงหรือไข้ต่ำ) ปวดศีรษะ ปวดเนื้อตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสีย หลังจากนั้น 3 – 7 วัน เมื่ออาการคล้ายโรคหวัดทุเลาลง จะมีตัว/ตาเหลือง (ดีซ่าน) จากมีสารสีเหลือง (บิลิรูบิน หรือ Bilirubin) ในน้ำดีของตับ ท้นเข้ากระแสเลือด มีปัสสาวะสีเหลืองเข็มจากสารสีเหลืองเพิ่มมากในปัสสาวะ (ร่างกายกำจัดสารนี้ออกทางไต/ทาง ปัสสาวะ, ปัสสาวะจึงมีสีเหลืองเข็มเพิ่มขึ้น) อุจจาระอาจมีสีซีดจากขาดสารสีเหลือง (เพราะน้ำดีจะคั่งอยู่ในตับจากเซลล์ตับเสียการทำงาน จึงไม่มีน้ำดีไหลจากตับลงสู่ลำไส้ตามปกติ หรือไหลลงสู่ลำไส้ได้น้อย ซึ่งสีเหลือง/น้ำตาลของอุจจาระเกิดจากสารตัวนี้) แต่เมื่อการอักเสบของตับค่อยๆลดลง อาการตัว/ตาเหลืองจึงค่อยๆลดลงไปด้วยตามลำดับ นอกจากนั้น อาจคลำพบมี ตับ ม้ามโต
และ/หรือ มีต่อมน้ำเหลืองด้านหลังลำคอโต คลำได้เจ็บเล็กน้อย และในขณะมี ตัว ตาเหลือง อาจมีอาการคันได้ จากสารสีเหลืองในเลือดก่อการระคายต่อผิวหนัง
การรักษาโรค
การรักษาประคับประคองตามอาการที่สำคัญคือ พยายามพักการทำงานของตับโดยพักผ่อนให้มากๆ การหยุดงานจะช่วยให้หายเร็วขึ้น
– ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติเพื่อขับสารสีเหลืองออกทางปัสสาวะ อย่างน้อยวันละ 6 – 8แก้ว (เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม)
– งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพราะเพิ่มการทำลายเซลล์ตับ กินอาหารอ่อน (อ่านเพิ่มเติมในประเภทอาหารทางการแพทย์) มื้อละน้อยๆ แต่กินให้บ่อยขึ้น พยายามอย่าให้ร่างกายขาดอาหาร กินยาบรรเทาอาการต่างๆเฉพาะตามแพทย์แนะนำเท่านั้น
– ไม่ซื้อยากินเอง เพราะยาอาจเพิ่มผล ข้างเคียงต่อตับทำลายเซลล์ตับเพิ่มขึ้น
– เมื่อมีอาการคันใช้ยาทาบรรเทาอาการคันภายนอก เช่น ยาคาลาไมด์และใช้โลชันชนิดอ่อนโยน(สำหรับเด็กอ่อน) ทาผิวกายภายหลังการอาบน้ำ
ไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นโรคไม่รุนแรง มักหายได้เสมอ และดังกล่าวแล้ว มักไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับ แต่น้อยรายโรคอาจรุนแรง ซึ่งที่รุนแรงมักพบในผู้สูงอายุ และในคนสุขภาพไม่แข็งแรงอยู่ก่อนแล้ว (มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ)
ทั้งนี้ไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้จากภาวะตับล้มเหลวประมาณ 0.5% ควรพบแพทย์เสมอเมื่อมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน เบื่ออาหารมาก ตัว/ตาเหลือง (ดีซ่าน) และควรต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่ออาการต่างๆเลวลง เช่น อาเจียนมาก อ่อนเพลียมาก กินไม่ได้ และ/หรือ มีไข้สูง
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ เอ
ควรพักการทำงานของตับดังกล่าวแล้วในหัวข้อการรักษา นอกจากนั้น คือ การป้องกันโรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่นและการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อช่วยให้ตับฟื้นตัวได้เร็วและได้ดีซึ่งทั้งสองประการคือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)กินอาหารสุกสะอาด ดื่มน้ำสะอาด รักษาความสะอาดเครื่องใช้ทุกชนิดแยกของใช้ส่วนตัวต่างๆ รวมทั้ง จาน ชาม ช้อน และแก้วน้ำ และรักษาความสะอาดในการขับถ่าย
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ที่สำคัญคือ
ที่มา : สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค